วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมค่ายต้นกล้ารำเพย



กิจกรรมค่ายต้นกล้ารำเพย เป็น กิจกรรมการรับน้องใหม่ (นักเรียนที่เข้าใหม่ในทุกระดับชั้น) ของคณะกรรมการนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ ปี 2554 ในกิจกรรมมีการให้ความรู้เกี่ยวกับเทพศิรินทร์  กิจกรรมต่างๆของโรงเรียน และมีความสนุกสนานมากกกกกกก


ภาพการบูมของเทพศิรินทร์เพื่อเป็นการต้อนรับน้องๆเข้าสู่รั้วเขียว-เหลืองซึ่งเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นมาก


ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวให่โอวาทแก่นักเรียนใหม่ถึงการเป็นลูกแม่รำเพยที่ดีมีคุณภาพ

ภาพความสนุกสนานและความน่ารักของน้องๆ

คนนี้คือพี่staffแต่ชอบทำตัวกลมกลืนกับเด็ก

กิจกรรมในแต่ละฐานของค่ายต้นกล้ารำเพย

อีโคไล เชื้อแบคทีเรียมรณะ คร่าชีวิตมนุษย์


แบคทีเรีย อีโคไลคืออะไร?

แบคทีเรียชนิดนี้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Escherichia coli (เอสเชอริเชีย โคไล) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า E. coli(อี.โคไล)เป็นแบคทีเรียที่มีอยู่แล้วในร่างกายมนุษย์และสัตว์ จะพบได้ในลำไส้ใหญ่แบคทีเรียชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อย ๆ อุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำแต่จะมีอาการไม่รุนแรง เพราะคนเรามีภูมิต้านทานโรคอยู่บ้างและปกติเราสามารถพบเชื้อดังกล่าวได้ใน อุจจาระอยู่แล้วถึงแม้จะไม่มีอาการอะไร

ทั้งนี้แบคทีเรียอีโคไลนั้นมีอยู่หลายชนิดแต่เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่ระบาด อยู่ในทวีปยุโรปนั้น เป็นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ชนิดโอ104 ผลิตสารพิษชิก้า (STEC) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดที่มีความรุนแรงมากและเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส

 

แบคทีเรียอีโคไลแพร่เข้าสู่ร่างกายคนได้อย่างไร?

เชื้ออีโคไลจะเข้าสู่ร่างกายคนได้จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มี เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ซึ่งส่วนมากจะพบในอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

เมื่อติดเชื้อแบคทีเรียอีโคไล แล้ว จะมีอาการอย่างไร?

เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆและมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว อาจจมีเลือดปน มีไข้ อาเจียนถ้าหากไม่หายภายใน 10 วัน ควรไปพบแพทย์เป็นการด่วนไม่เช่นนั้นผู้ป่วยจะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และไตวาย อาจจะทำให้เสียชีวิตในที่สุดนอกจากนี้ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยาระงับการถ่าย อุจจาระเพราะยาประเภทนี้จะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นกว่าเดิม>>
>>

การป้องกันและรักษา

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย อีโคไลแต่ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้นและควรหลีก เลี่ยงยาแก้ปวดในกลุ่มสเตอรอยด์ เช่น ยาแอสไพรินเพราะจะยาตัวนี้จะไปทำลายไตของผู้ป่วย

สำหรับวิธีป้องกันเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ในเบื้องต้น คือ

1.
รับประทานอาหารที่ปรุงสุก และถูกสุขลักษณะ
2.
ควรเก็บอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไว้ในอุณหภูมิต่ำ
3.
สำหรับผักสดควรล้างน้ำให้สะอาด โดยการปล่อยน้ำไหลผ่านผักประมาณ 2 นาที
4.
ในการประกอบอาหารควรปรุงให้สุกในระดับอุณหภูมิ 71 องศาเซลเซียสขึ้นไป
5.
ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมืออยู่เสมอ
6.
เมื่อมีอาการท้องเสียขั้นรุนแรง ควรไปพบแพทย์โดยด่วนและอย่ารับประทานยาระงับถ่ายอุจจาระ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อันตรายใกล้ตัวจาก"ยาทาเล็บ"


ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งก็จริง แต่ก็ควรตระหนักถึงอันตรายของเครื่องสำอางด้วยอย่างเช่น "ยา ทาเล็บ" เป็นต้น ฐิตินันท์ ศรีสถิต แห่งคอลัมน์ "โลกสรรพสินค้า" นิตยสาร "สารคดี" ฉบับล่าสุด มีคำเตือนฝากหญิงสาว
* สัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกความเป็น อันตรายของยาทาเล็บคือกลิ่นเหม็นรุนแรงที่โชยออกมาเมื่อเปิดฝา อันเกิดจากการผสมกันของแอลกอฮอล์ โซลเวนต์หรือสารอินทรีย์ระเหยที่ใช้เป็นตัวทำละลายซึ่งช่วยให้ยาทาเล็บแห้ง เร็ว และเรซิ่นที่ทำให้สีของยาทาเล็บติดทนทาน ไม่ลอกล่อนโดยง่าย

* มีสารพิษ 3 ชนิดปะปนอยู่ ในยาทาเล็บทั่วไป คือ ไดบิวทิล พทาเลต สารประกอบไทลูอิน และฟอร์มาลดีไฮด์

* ไดบิวทิล พทาเลต เป็นปัจจัยเพิ่มอัตราการเป็นหมันในหญิงและชาย ในระยะยาวจะส่งผลต่อไตและตับ

* ไทลูอิน ไม่เพียงรบกวนการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ แต่ยังสร้างความระคายเคืองผิวหนังและส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เหนื่อย สับสน และสูญเสียความทรงจำ หากสูดดมมากๆ จะมีอาการหน้ามืด ตาลาย ปวดศีรษะ

* ฟอร์มาลดีไฮด์ หากสัมผัสกับผิวหนังจะปรากฏเป็นผื่นแพ้และคัน หากสูดดมเข้าไปในระยะสั้นจะสร้างความระคายเคืองในลำคอและไอ ในระยะยาวทำให้เป็นมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ

* สีในยา ทาเล็บส่วนใหญ่เป็นสีสังเคราะห์ ส่วนยาทาเล็บที่ผลิตด้วยสีธรรมชาติก็จำเป็นต้องเติมแร่ไมกาเพื่อเพิ่มประกาย แวววาว สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ การทำเหมืองไมกามีการใช้แรงงานเด็กและผู้หญิง

* นอกจาก ยาทาเล็บแล้ว น้ำยาล้างเล็บก็อันตรายไม่เบา ยิ่งทาเล็บติดทนนานเพียงใด ยิ่งต้องใช้น้ำยาที่ผสมด้วยตัวทำละลายเข้มข้นสูง จึงมีฤทธิ์มากพอจะล้างสีออกจากเล็บได้ง่ายดาย

* น้ำยา ล้างเล็บส่วนใหญ่มีส่วนผสมสารเคมี 2 ชนิด คือ อะซิโตน และเอทิลอะซิเตต ซึ่งต่างก็สร้างความระคายเคืองแก่ดวงตาและระบบทางเดินหายใจ ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้ผิวหนังแห้งและลดทอนความแข็งแรงของเล็บอีกด้วย